5 แนวโน้ม CRM ที่ต้องรู้ก่อนใช้ 5 แนวโน้ม CRM ที่ต้องรู้ก่อนใช้ 1.Sales Force Automation (Sales Module) โมดูลที่ช่วย
• พนักงานขายสามารถดูข้อมูลเชิงลึกในการพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าได้ทันที
• ผู้จัดการขายสามารถคาดการณ์ยอดขายในอนาคตได้อย่างแม่นยำมากกว่า
• ช่วยให้บริษัทสามารถที่จะปรับยอกการผลิตแต่ละรอบได้แบบ real time ตามตัวเลขยอดขาย
• และช่วยประเมินความถูกต้องของทีมขายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2.Marketing Automation (Marketing Module) โมดูลที่ช่วย
• ฝ่ายการตลาดในการจัดการแคมเปญ ออกแบบ ปรับงบประมาณ ประมาณรายได้จากการการโฆษณาเฉพาะ สร้างแคมเปญเป้าหมายและประเมินผลลัพธ์ของแคมเปญ
3.Service & Support (Service Module) โมดูลที่ช่วย • ช่วยให้ธุรกิจสามารถให้บริการลูกค้าได้ทันที ณ เดี๋ยวนั้น สนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้อง กับศูนย์บริการลูกค้า และศูนย์ให้ความช่วยเหลือลูกค้า ขอองค์กรให้สามารถทำงานในเชิงรุก
4.Analytics (Analytics Module) โมดูลที่ช่วย • สร้างรายงานแบบ real-time กราฟิกและสามารถที่กำหนดเองได้
• จัดสรรทรัพยากรข้อมูลในเชิงลึก เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร โดยระบุแนวโน้มและคาดการณ์พฤติกรรมของลูกค้าในอนาคต
ภาพจาก http://www.enterprisecioforum.com/en/blogs/chiragshivalker/crm-trends-2015-and-what-implies
ส่วน 5 แนวโน้มที่สำคัญของระบบ CRM (Key Trends) ที่ต้องรู้ในปี 2015 คือ
1. Social CRM
Facebook และ Twitter ไม่เพียงแต่เป็นที่สำหรับการโพสต์ภาพของเด็กๆ หรือข้อความบันทึกประจำวัน เท่านั้น แต่พวกเขากำลังเป็นโอกาสที่สำคัญสำหรับ บริษัท ที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น มีจำนวนองค์กรเพิ่มขึ้นมามากที่มีการใช้ Social CRM ในการตรวจสอบสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, Twitter และ LinkedIn สำหรับที่เกี่ยวข้องหรือที่มีกล่าวถึงสินค้าบริการและแบรนด์ ของตนเอง ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้บริโภคโพสต์ร้องเรียนเกี่ยวกับการซื้อสินค้าที่ผ่านมา ฝ่ายบริการลูกค้าสามารถตอบสนองข้อร้องเรียนได้ทันทีโดยนำเสนอการสนับสนุนทางเทคนิค ผลที่ได้คือไม่เพียงแต่สร้างความพึงพอใจของลูกค้า แต่หมายถึงการแสดงความมุ่งมั่นต่อการสร้างแบรนด์ของตนในที่สาธารณะ นอกจากนี้ ตัวแทนขายยังสามารถใช้ประโยชน์จาก Social CRM ในการติดตามพฤติกรรมออนไลน์ของลูกค้าเพื่อว่าอาจจะต้องใช้การสนทนาทางโทรศัพท์จะดีกว่า เป็นต้น
2. Analytics
ปัจจุบัน ร้อยละ 50 ของนักการตลาดยอมรับว่าข้อมูลเป็นสินทรัพย์มากที่สุดในองค์กรของพวกเขา ด้วยเหตุนี้องค์กรมากขึ้นจะเปลี่ยนไปใช้ CRM ในการวิเคราะห์ ข้อมูลลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะทำให้การซื้อซ้ำภายในเดือนต่อไปหรือไม่ หรือลูกค้าที่ซื้อสินค้าบ่อยๆ เป็นลูกค้าที่สร้างผลกำไรมากที่สุดหรือไม่? หรือื ลูกค้าแสดงสัญญาณว่าจะสลับไปใช้สินค้หรือบริการของคู่แข่งหรือไม่ โดยการขุดลึกไปในข้อมูลทางด้านประชากรศาสตร์ของลูกค้าถึงพฤติกรรมการ องค์กรสามารถปรับแต่งการสื่อสารกับลูกค้าและโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าโดยเฉพาะได้
3. SaaS
ผู้ให้บริการติดตั้งระบบ CRM ได้เพิ่มบริการ Software-as-a-Service (SaaS) เป็นทางเลือกให้กับลูกค้าซึ่งมีข้อดีหลายข้อ อาทิเช่น SaaS คิดค่าใช้จ่ายเป็นประจำทุกเดือน โดยไม่ต้องมี Function การใช้งานที่ซับซ้อนหรือต้องขอความช่วยเหลือของทีมงาน IT ให้ยุ่งยาก ผลที่ได้คือ มีระบบ CRM ที่ต้นทุนการลงทุนต่ำ และย้งคงมีประสิทธิภาพ และ บริษัทก็จะสามารถมุ่งไปที่ความสามารถหลัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งานของระบบ CRM ว่ามีความซับซ้อนมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีความซับซ้อนและเฉพาะกิจมากๆ การใช้วิธีติดตั้งระบบ CRM (On-Premise CRM) อาจจะคุ้มค่าในการลงทุนมากกว่า ก็เป็นได้ อาทิเช่น ธุรกิจธนาคาร ที่จะต้องให้บริการลูกค้าทางด้านเงินๆ ทองๆ เป็นกรณีพิเศษ ซึ่งจะต้องเชื่อมต่อกับระบบ Core Banking ซึ่งการที่จะ Customize เพื่อให้ SaaS มาเชื่อมต่อกับระบบหลังบ้านอาจจะแพงมากหรือเป็นไปไม่ได้เลย ในเรื่องของ Security รวมถึงจำนวนของเจ้าหน้าที่เองที่มีจำนวนมาก การเช่า Saas อาจจะไม่คุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบในระยะยาว
4. Loyalty
ณ ปัจจุบัน ในสหรัฐอเมริกา มีมากกว่า 2 พันล้าน Loyalty Program ที่มีออกมาแข่งขันกันทำตลาดนี้ ในประเทศไทยเองก็เช่นกัน โดยเฉพาะห้างใหญ่ๆ ก็มีการทำ Loyalty Program ตลอดปี ไม่ว่าจะเป็น บัตร The One Card ของ Central หรือ M Card ของ The Mall หรือสะสมแสตมป์ ของค่าย 7Eleven ด้วยการแข่งขันรุนแรงเช่นนี้ บริษัทไม่สามารถที่จะพลาดในการทำตลาด Loyalty นี้อีกต่อไป โดยระบบ CRM จะเข้ามาช่วยสร้างโปรแกรมความภักดีนี้ และทำให้สามารถติดตาม วัดผล หรือตรวจสอบผลกระทบต่อการรักษาลูกค้าให้คงอยู่กับเรา ความสำเร็จของโปรแกรม รายได้ที่ถูกสร้างขึ้นโดยโปรแกรมความภักดีนี้โดยเฉพาะ เป็นต้น
5. Support
Call Center ถือว่าเป็นแถวหน้าของบริษัทที่ต้องติดต่อลูกค้า นอกจากนั้น เขายังเป็นส่วนหนึ่งของผู้เสริมสร้าง Brand ให้กับบริษัทได้ โดยการเชื่อมโยงข้อมูล CRM เข้ากับระบบ Call Center เจ้าหน้าที่ Call Center ก็สามารถทราบปัญหา ความกังวล ตอบคำถามได้ถูกต้องและตรงประเด็น หรือแม้กระทั่งช่วยในการขายสินค้าหรือบริการให้องค์กรได้ (Up-sell/Cross-sell) ตัวอย่างเช่น เมื่อลุกค้าติดต่อเข้ามายัง Call Center ข้อมูลลูกค้า ประวัติการสั่งซ้อสินค้าของลูกค้า จะมาแสดงบนหน้าจอของเจ้าหน้าที่ Call Center ได้ทันที (CTI). ถ้าต้องการดูในรายละเอียดเพิ่มเติม ระบบ CRM ที่ออกแบบมาอย่างดี เจ้าหน้าที่ Call Center สามารถเรียกข้อมูลในเชิงลึกของลูกค้าได้ด้วยการคลิกเมาส์เพื่อดูมุมมอง 360 องศาของลูกค้า เช่น จากข้อมูล CRM สามารถติดตามการจัดส่งสินค้าของลูกค้าว่าถึงส่วนใดแล้ว หรือเสนอขายผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้ เป็นต้น
บทความโดย คุณสุรศักดิ์ ภักดีวัฒนะกุล (ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบ Contact Center และ CRM) บริษัท นวต ซอฟท์เทค จำกัด (www.nawata.co.th) Office 02-720-3400
7 สิงหาคม 2558
** ข้อความบางส่วนคัดมาจากบทความของ Ziff Davis เรื่อง 5 Key Trends of Customer Relationship Management
|
Call Center and CRM